Why We Are Social X Warner Music? ปลดล็อก ‘WAVS Project’ สู่ Metaverse: อนาคตศิลปินอินดี้ต้องไปต่อ!
ไหนใครว่า Metaverse คือพื้นที่สำหรับเกมเมอร์เท่านั้น? คิดผิดแล้วล่ะ! เมื่อโลกของ ดนตรี ต้องเจอทางตันเรื่องข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ นี่คือสูตรสำเร็จของ Innovation ที่เกิดขึ้น เมื่อค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่าง Warner Music Thailand ตัดสินใจจับมือกับ We Are Social เอเจนซีครีเอทีฟที่เข้าใจโลกโซเชียลเป็นที่สุด มันไม่ใช่แค่การ Collab ธรรมดา แต่มันคือการสร้าง 'ประตูมิติ' ให้ศิลปินอินดี้ได้ก้าวข้ามทุกกำแพง!
WAVS Project คืออะไร? และทำไมต้องมี Social Partner?
ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่า WAVS (Warner Audio Visual Space) คือโครงการที่ Warner Music Thailand ตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อเป็น "Community" ให้กับศิลปินอิสระรุ่นใหม่ จุดประสงค์คือการมอบโอกาสให้ศิลปินได้เข้าถึง สตูดิโอระดับมืออาชีพ และ เวิร์กช็อป ที่มักจะกระจุกตัวอยู่ในเมืองหลวง แต่ปัญหาใหญ่คือ... แล้วศิลปินที่อยู่ต่างจังหวัด หรือคนที่มีข้อจำกัดในการเดินทางล่ะ จะทำอย่างไร?
นี่แหละคือเหตุผลที่ We Are Social ในฐานะ Creative Agency ที่เชี่ยวชาญด้าน Digital Innovation เข้ามาตอบโจทย์นี้ได้อย่างชาญฉลาด! พวกเขาไม่ได้มองแค่การทำแคมเปญให้ไวรัล แต่มองหาวิธี "ทลายกำแพงทางภูมิศาสตร์และสังคม" ได้อย่างหมดจด ด้วยการใช้พลังของ Metaverse เป็นเครื่องมือหลัก
พลังของ Metaverse: ห้องซ้อมดนตรีที่ไร้ขอบเขต
การร่วมมือครั้งนี้ได้ยกระดับ WAVS รุ่นล่าสุด (WAVS 3) ไปอีกขั้น โดยการนำ Metaverse เข้ามาเป็นพื้นที่หลักในการทำกิจกรรม! ศิลปินที่เข้าร่วมสามารถแปลงร่างเป็น Digital Avatar เข้าไป ออดิชัน, เข้าร่วม Workshop, พบโค้ช, และ ทำงานเพลงใน Virtual Studio ได้แบบเรียลไทม์ ทำให้ศิลปินที่อาศัยอยู่ไกลจากกรุงเทพฯ หรือผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ที่เข้าถึงโอกาสได้ยาก ได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียม นี่คือการใช้ Innovation เพื่อสร้าง Equity อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นคุณค่าที่ Gen Z ให้ความสำคัญ
The Ultimate Goal: สร้าง ‘ศิลปินที่สมบูรณ์แบบ’ แห่งยุคดิจิทัล
การ Collab ระหว่าง Warner Music และ We Are Social จึงเป็นการสร้าง "ศิลปินที่สมบูรณ์แบบ" ในยุคที่โลกออนไลน์และโลกจริงเชื่อมถึงกัน: Warner Music รับหน้าที่เป็น "โค้ชและพี่เลี้ยง" มอบความรู้ด้านดนตรี, การผลิตเพลง, และการแสดงสดที่แน่นปึ้ก ส่วน We Are Social รับหน้าที่เป็น "กูรูด้านดิจิทัล" ที่สอนเรื่องการสร้างแบรนด์, การตลาดบนโซเชียลมีเดีย, และการใช้แพลตฟอร์มล้ำๆ อย่าง Metaverse เพื่อให้ศิลปินเหล่านี้สามารถ โปรโมตตัวเองและเข้าถึงแฟนเพลงได้ทั่วโลก
การเป็น Social Partner ของ We Are Social ใน WAVS ไม่ได้มีแค่เรื่องเพลง แต่คือการนำ "นวัตกรรม" มามอบ "โอกาส" ให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงความสามารถอย่างเท่าเทียม และเติบโตในโลกดนตรีที่ไร้ขอบเขตอย่างแท้จริง! นี่คือการพิสูจน์ว่าโลกดนตรีไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่ไม่มีคำว่า "เป็นไปไม่ได้" แล้ว!
หลุดกรอบไปกับ 'Indie ไม่ Kids': เมื่อ Mek Sippanun ชวนเพื่อนรักมา 'รีมิกซ์' เพลงกันเองแบบไร้ขอบเขต!
เบื่อยังกับเพลง Cover ที่แค่ร้องตามต้นฉบับ? ถ้าคุณเป็น Gen Z ที่ตามหา 'รสนิยม' และ 'ความแปลกใหม่' นี่คือคำตอบ!
โปรเจกต์ "Indie ไม่ Kids" ที่ริเริ่มโดย เมฆ สิปปนันทน์ (Mek Sippanun) ไม่ใช่แค่การรวบรวมเพลง Cover ทั่วไป แต่มันคือการพิสูจน์ว่า "เมื่อเพื่อนสนิทในวงการดนตรีมาทำงานร่วมกัน ความไว้ใจจะทำให้การ Rearrange เพลงนั้นไปได้ไกลกว่าที่เคย!" แกนหลักของโปรเจกต์นี้คือการ ชวนเพื่อนศิลปินอินดี้มา Cover เพลงสลับกัน โดยอนุญาตให้เพื่อนสามารถ "ทำลายและสร้างใหม่" เพลงต้นฉบับให้กลายเป็นสไตล์และ Vibe ของตัวเองได้อย่างอิสระที่สุด ซึ่งนี่คือการประกาศว่า ดนตรีที่ดีไม่จำเป็นต้องตามกระแส แต่เป็นเพลงที่ถูกนำเสนอในมุมมองที่โตแล้วและมีสไตล์!
หัวใจของความเจ๋งในโปรเจกต์นี้จึงอยู่ที่ ความกล้าและความไว้ใจ ในแวดวงเพื่อนๆ! ศิลปินที่ตอบรับคำชวนจึงมาพร้อมวุฒิภาวะทางดนตรีที่กล้าจะ "เปลี่ยนแนว" ของเพลงไปเลยแบบไม่เกรงใจต้นฉบับ ยกตัวอย่างเช่น เพลงร็อกอาจจะถูกแปลงเป็น Dream Pop สุดล่องลอย หรือเพลงป๊อปอาจจะถูกแปลงเป็น Thai Groove ที่มีชั้นเชิงในการเรียบเรียงมากขึ้น ซึ่งความพิเศษอยู่ตรงที่การ Re-Arrange เพลงเดิมให้เป็นแนวใหม่แบบนี้ คือการโชว์ Skill และความสามารถในการ 'Sound Design' ของศิลปินในโปรเจกต์ได้อย่างชัดเจน ว่าพวกเขามีทักษะที่ "ไม่ Kids" จริงๆ และในขณะเดียวกัน การเลือกเพลงของเพื่อนๆ มาทำใหม่ ยังเป็นการแสดงออกถึง Community Spirit และการ Respect ให้กับผลงานต้นฉบับอย่างลึกซึ้ง
ดังนั้น ถ้าคุณพร้อมที่จะยกระดับเพลย์ลิสต์ของคุณให้ 'Indie ไม่ Kids' และสนับสนุนดนตรีไทยที่มีคุณภาพ โปรเจกต์นี้คือสิ่งที่คุณต้องกด Follow ด่วนที่สุด! การติดตามโปรเจกต์นี้ไม่ใช่แค่การฟังเพลง Cover แต่คือการเปิดโลกให้คุณได้สัมผัสกับเพลงที่คุณอาจจะเคยฟังแล้ว แต่ไม่เคยรู้ว่ามันสามารถ "เท่" และ "โต" ได้ขนาดนี้! ความสำเร็จของ "Indie ไม่ Kids" จึงเป็นการวัดผลด้วย 'รสนิยม' และ 'ความแข็งแรงของ Community' ที่เหนียวแน่นของผู้ฟังที่กล้าจะ 'เลือก' สิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง ไม่ใช่แค่ตามสิ่งที่ถูกยัดเยียดมา
The Beginning of a New Generation กับปรากฏการณ์ 'WAVS Night' ที่ Marshall Live House!
จากโลก Metaverse สู่เวทีจริง! คืนที่ Marshall Live House สว่างไสวด้วยพลังของคนรุ่นใหม่ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่พิสูจน์ว่า WAVS Project (Warner Audio Visual Space) ไม่ได้เป็นแค่โครงการฝึกอบรม แต่คือ "โรงงานสร้างดาว" ของวงการเพลงไทย!
เรามาดูกันว่าคืนแห่งการเฉลิมฉลองนี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง และทำไมโชว์ของศิลปินจาก WAVS ถึงได้สั่นสะเทือนวงการ Live Music!
สิ่งที่เป็นไฮไลท์ที่สุดของ WAVS Night คือการที่ศิลปินที่เคยฝึกซ้อมอยู่ใน Virtual Studio (ที่พัฒนาโดย We Are Social) ได้ก้าวขึ้นสู่เวที Marshall Live House เวทีที่มีประวัติศาสตร์และมาตรฐานระดับโลก ความตื่นเต้นของการแสดงสดที่ Marshall นั้นแตกต่างจากจอคอมพิวเตอร์อย่างสิ้นเชิง ศิลปินต้องใช้ 'Stage Presence' และ 'ปฏิสัมพันธ์กับผู้ชม' ที่แท้จริงในการสื่อสาร ซึ่งเป็นบททดสอบสุดท้ายที่พวกเขาต้องผ่าน Marshall Live House ได้มอบ ระบบเสียงและแสง ที่สุดยอด ทำให้ซาวด์ของศิลปิน WAVS ซึ่งได้รับการโปรดิวซ์อย่างดีเยี่ยมจากทีมงาน Warner Music สามารถส่งพลังงานออกมาได้อย่างเต็มที่
การแสดงในคืนนี้ยังเป็นการตอกย้ำถึงความสำเร็จของการ Collab ระหว่าง WAVS กับ Maybelline New York ที่มาในฐานะ Stylist Partner ศิลปินหลายคนมาพร้อมกับ Stage Makeup และ Iconic Look ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อเสริมความมั่นใจในการแสดง การที่ศิลปินดูดีและรู้สึกมั่นใจในลุคของตัวเอง เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้พวกเขาปล่อยของบนเวทีได้อย่างไร้กังวล
แน่นอนว่าหัวใจของงานคือเหล่าศิลปินจาก WAVS! ทุกคนแสดงให้เห็นถึงความพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่ซีนเพลงหลัก (Mainstream Scene) ศิลปินที่ขึ้นโชว์มีความหลากหลายทางดนตรีอย่างน่าสนใจ ตั้งแต่ Indie Pop ที่มาพร้อมกับเนื้อเพลงโดนๆ ไปจนถึง Alternative Rock ที่มาพร้อมพลังงานดิบๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า WAVS เปิดรับศิลปินทุกแนว อีกทั้งการแสดงออกถึง Skill และ Passion ที่พวกเขามีในการทำเพลง เป็นหลักฐานยืนยันว่าการลงทุนของ KFC ในการมอบโอกาสที่สอง และการสนับสนุนของ Warner Music นั้นได้ผลอย่างแท้จริง
WAVS Night ที่ Marshall Live House ไม่ใช่แค่การจัดคอนเสิร์ต แต่คือ "งานรับปริญญา" ของศิลปินรุ่นใหม่! นี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่พวกเขาจะสร้างสรรค์ผลงาน และกำหนดทิศทางและจุดยืนของตัวเองในวงการเพลงไทยในอนาคตต่อไป
Maybelline x WAVS: เมื่อ Beauty คืออาวุธลับของศิลปิน! ทำไมแบรนด์เครื่องสำอางถึงกระโดดเข้าร่วมโลกดนตรี?
สำหรับ Maybelline การเข้าร่วม WAVS คือการตอกย้ำถึง Brand Purpose ที่เน้นการ Empowerment หรือการให้พลังกับทุกคนให้กล้าแสดงออก:
ดนตรีคือการแสดงออกทางอารมณ์ ในขณะที่เครื่องสำอางคือการแสดงออกทาง Visual การที่ศิลปินขึ้นเวที (ไม่ว่าจะ Live House หรือใน Metaverse) พวกเขาต้องการ ลุค ที่เสริมความมั่นใจและตอกย้ำความเป็นตัวตน Maybelline จึงเข้ามาเติมเต็มในช่องว่างนี้ ในฐานะเครื่องมือที่ช่วยให้ศิลปิน ‘กล้าเผชิญหน้ากับดนตรี’ และ ‘กล้าเป็นตัวเองบนเวที’
คนรุ่นใหม่มองว่าเครื่องสำอางเป็นมากกว่าแค่การปกปิด แต่เป็นการ 'ครีเอตลุค' ที่ไม่จำกัดเพศหรือกรอบเดิมๆ การไปอยู่ท่ามกลางคอมมูนิตี้ศิลปินอินดี้ ทำให้ Maybelline กลายเป็นส่วนหนึ่งของ "Creative Culture" โดยตรง
Maybelline ไม่ใช่แค่สปอนเซอร์ แต่คือ 'Stylist Partner'
Maybelline เข้ามาเป็น ‘Stylist Partner’ ให้กับศิลปิน โดยการจัด Workshop สอนการแต่งหน้าสำหรับขึ้นเวทีโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการทำ Stage Makeup ที่ติดทนภายใต้แสงไฟร้อนๆ หรือการสร้าง Iconic Look ที่จะทำให้ศิลปินดูโดดเด่นและเป็นที่จดจำ
การแต่งหน้าในงานดนตรีเป็น Visual Content ที่ทรงพลังที่สุด! ลุคที่ปังบนเวทีหรือใน MV จะถูกแชร์ต่อบน TikTok และ Instagram อย่างรวดเร็ว การสนับสนุนด้าน Beauty ให้ศิลปิน จึงเท่ากับเป็นการสร้าง Visual Story ให้กับทั้งศิลปินและตัวแบรนด์เองไปพร้อมๆ กัน ซึ่งตรงกับความต้องการคอนเทนต์ของ Gen Alpha และ Gen Z อย่างสมบูรณ์แบบ
เชื่อมโลก 'Street' เข้ากับ 'Stage'
การ Collab ครั้งนี้เป็นการเชื่อมโยงอย่างลงตัวระหว่าง Music Culture (การแสดงสด) และ Street Culture (แฟชั่นและบิวตี้) โดยมี WAVS เป็นเวทีที่ใช้ทดลอง:
Warner Music: มอบ Sound (ดนตรี)
We Are Social: มอบ Platform (Metaverse และ Digital)
Maybelline: มอบ Look (ความมั่นใจและ Visual Performance)
Maybelline New York ไม่ได้แค่เข้ามาเพื่อโฆษณา แต่เข้ามาเพื่อเป็น ส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างศิลปิน ที่สมบูรณ์แบบในยุคดิจิทัล โดยการมอบ ‘ความมั่นใจ’ ผ่านลุคที่จัดเต็ม ซึ่งเป็นสิ่งที่ศิลปินทุกคนต้องใช้ในการแสดงความสามารถอย่างเต็มที่บนเวที!
KFC x WAVS Project: ไม่ใช่แค่ไก่ แต่คือ 'โอกาสที่สอง' ในโลกดนตรี!
เมื่อ KFC Thailand เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรในโปรเจกต์ WAVS (Warner Audio Visual Space) ของ Warner Music มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ! นี่คือการผสมผสานที่ทรงพลังระหว่างธุรกิจ, ดนตรี, และการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคม ที่โดนใจคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจประเด็นสังคมอย่าง Gen Z และ Gen Alpha ที่สุด!
เรามาเจาะลึกกันว่าทำไม KFC ถึงให้ความสำคัญกับ "เสียงดนตรี" และ "โอกาสที่สอง" ของเยาวชนไทย!
การร่วมมือครั้งนี้มีจุดเริ่มต้นจากโครงการ KFC Bucket Search ของ KFC เอง ซึ่งเป็นโครงการที่มุ่งเน้นการมอบ "โอกาสที่สอง" และการพัฒนาศักยภาพให้กับ เยาวชนที่หลุดออกจากระบบการศึกษา หรือเยาวชนที่ขาดความเสมอภาคทางการศึกษา เพราะ KFC เชื่อว่า "ทุกศักยภาพมีคุณค่าเสมอ"
เมื่อ KFC Bucket Search เข้ามาผนึกกำลังกับ WAVS ของ Warner Music มันจึงเปลี่ยนจากโครงการพัฒนาทักษะอาชีพทั่วไป ให้กลายเป็นการพัฒนา "ทักษะทางดนตรีดิจิทัล" และมอบ "เส้นทางอาชีพศิลปิน" ที่เข้าถึงง่ายกว่าเดิมมาก ซึ่งนี่คือการตอบโจทย์ทางสังคมของแบรนด์ที่ลึกซึ้งกว่าแค่การบริจาคทั่วไป
KFC เข้ามาสนับสนุนให้โครงการ WAVS 3 สามารถใช้เทคโนโลยี Metaverse (ที่พัฒนาโดย We Are Social) ในการสร้าง 'Virtual Studio' ทำให้เยาวชนที่ขาดโอกาสจากทั่วประเทศสามารถ ออดิชัน, เรียนรู้ทักษะดิจิทัล, และ เข้าถึงโค้ชมืออาชีพ ได้อย่างเท่าเทียมและไม่มีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
KFC เชื่อในพลังของ 'ดนตรี' ไม่ใช่แค่เพื่อความบันเทิง แต่เป็น "เครื่องมือในการเยียวยาอารมณ์" และเป็น "ประตูสู่โอกาสชีวิตใหม่" ซึ่งเป็นการลงทุนที่เน้นผลกระทบเชิงบวกต่อจิตใจและอาชีพของเยาวชนกลุ่มเสี่ยงโดยตรง
การเป็นพันธมิตรระหว่าง KFC และ Warner Music ไม่ได้จบแค่ในโลกเสมือนจริง แต่เป็นการสร้างเส้นทางอาชีพที่จริงจัง เยาวชนที่ผ่านโครงการจะได้รับการพัฒนาทักษะอย่างเข้มข้น และมีโอกาสในการ แสดงสด (Live Performance) ที่ได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์อย่างเวที live house แห่งแรกของโลกอย่าง Marshall Live house
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการใช้ "ดนตรี" เป็นทักษะอาชีพหลัก เพื่อช่วยให้เยาวชนเหล่านี้สามารถ กลับคืนสู่สังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรี โดยมีค่ายเพลงระดับโลกอย่าง Warner Music และแบรนด์ใหญ่อย่าง KFC เป็นผู้รับรองและผลักดัน
การที่ KFC กระโดดเข้าสู่ WAVS ไม่ใช่แค่การสวมหมวกให้ผู้พันแซนเดอร์สฟังเพลง แต่เป็นการใช้ อำนาจทางการเงิน และ เครือข่าย ของแบรนด์ QSR ระดับโลก เพื่อ "ซื้อโอกาส" ให้กับเยาวชนที่เสียงของพวกเขาอาจถูกสังคมมองข้ามไป ให้พวกเขามีพื้นที่ในการสร้างสรรค์และสร้างอนาคตของตัวเองในโลกดนตรีได้อย่างแท้จริง!
Live Music Hunting Guide: 5 Live House ในกรุงเทพฯ ที่ “Sound” โคตรดี และ “Vibe” โคตรปัง!
1. 👑 Lido Connect: เดอะเบสท์แห่งสยามสแควร์
Lido Connect คือคำตอบแรกสำหรับคำถาม “ไปคอนเสิร์ตที่ไหนดี?” ในยุคนี้ เพราะความที่ตั้งอยู่ ใจกลางสยาม (ติด BTS สยาม) ทำให้เป็น Live House ที่เข้าถึงง่ายที่สุดในสามโลก และเป็นแหล่งรวมของ Indie Pop, T-Pop และงาน Showcase ของวงดนตรีรุ่นใหม่ที่กำลังมาแรง ถ้าคุณอยากเจอศิลปินที่กำลังเป็นกระแส หรือคอนเสิร์ตที่บัตร Sold Out ไวๆ ที่นี่คือที่ที่พลาดไม่ได้เลย โดย Lido จะแบ่งเป็น Hall 2 และ Hall 3 ซึ่งมีความจุและอารมณ์ในการดูโชว์ที่ต่างกันเล็กน้อย ดังนั้น เช็กผังที่ยืน/ที่นั่ง ให้ดีก่อนซื้อบัตรนะ!
2. 🚀 Volume Live House: เน้นงานใหญ่ Production ต้องแน่น!
ถ้าต้องการคอนเสิร์ตที่ระบบเสียงและไฟต้องไม่มีที่ติ Volume Live House ที่ The Street รัชดา (MRT ศูนย์วัฒนธรรม) คือคำตอบที่มืออาชีพเลือกใช้! ที่นี่เป็นฮอลล์ขนาดใหญ่ที่เน้นความจุและ Production คุณภาพสูง เหมาะสำหรับคอนเสิร์ตที่ต้องการความอลังการของแสง สี เสียง หรืองาน Fan Meet ของไอดอลที่มีคนเยอะๆ ซึ่งเป็น Live House ที่มีความ ยืดหยุ่น สูง และมีอีเวนต์หมุนเวียนเข้ามาจัดตลอดเวลา ดังนั้นก่อนไป ห้ามลืมเช็กตารางอีเวนต์ เป็นหลัก เพราะเขามักไม่เปิดให้เข้าแบบปกติถ้าไม่มีงานใหญ่!
3. ✨ Melt Live House: ที่รวมตัวของชาว Indie Mood ดี (มาแรงแซงโค้ง!)
Melt Live House ที่มาแรงที่สุดในช่วงนี้ ตั้งอยู่แถวพระราม 4 (ใกล้ตึกมาลีนนท์) และได้กลายเป็น Home Base ของวงอินดี้สายละมุน! ที่นี่จะเน้นแนว Indie Pop, Folk, Acoustic ที่มี Mood ดีๆ มีงานของวงอินดี้แถวหน้าที่กำลังเป็นกระแสต่อเนื่อง ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ใน ‘Community’ ของคนฟังเพลงแนวเดียวกันจริงๆ สำหรับใครที่อยากได้ประสบการณ์พิเศษ ที่นี่ก็มีบัตรประเภท Melt Deluxe / VVIP ที่มอบมุมมองที่ดีที่สุด และสิทธิพิเศษอื่นๆ ที่คุ้มค่าแน่นอน!
4. 🎸 Marshall Live House: พลังร็อกต้องมา! (พิกัดใหม่โคตรเท่!)
ชื่อนี้การันตีความเดือด! Marshall Live House คือที่ที่คุณจะได้สัมผัสพลังเสียงแบบถึงเครื่องถึงใจ ย้ำว่าตอนนี้เขาปักหลักอยู่ที่ซอยเจริญกรุง 36! ซึ่งที่นี่คือ Marshall Live House แห่งแรกของโลก ที่เน้น พลังเสียงคือที่สุด! และเป็น Community ที่แข็งแรงของชาวร็อกและดนตรีทางเลือก นอกจาก Live Stage แล้ว ยังมี Vinyl Listening Bar และ ห้องซ้อมดนตรี ที่เปิดให้ศิลปินมาปล่อยของอีกด้วย เป็นทั้งที่ดูคอนเสิร์ตและที่แฮงค์เอาท์สุดฮิปในย่านสร้างสรรค์!
5. 🏡 Speakerbox: ตำนานแห่งชาวอินดี้ใต้ดิน
Speakerbox ที่เอกมัย/ทองหล่อ (ใกล้ BTS เอกมัย) อาจจะไม่ได้เน้นความใหญ่ แต่เน้น ความเก๋า และ ความ Authentic ที่สุด! ที่นี่คือ บ้านของวงดนตรีอินดี้ใต้ดิน ตัวจริง ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญที่คุณจะได้ค้นพบวงใหม่ๆ ที่ยังไม่แมส หรือได้ดูวงโปรดแบบ Close-up ที่สุด บรรยากาศเป็นกันเองและอบอุ่นมาก และบ่อยครั้งก็มีอีเวนต์ Jam Session / Open Mic ที่ทำให้นักดนตรีมาปล่อยของแบบสดๆ ให้คุณได้เซอร์ไพรส์อยู่เสมอ
1. Lido Connect: เดอะเบสท์แห่งสยามสแควร์
Lido Connect คือคำตอบแรกสำหรับคำถาม “ไปคอนเสิร์ตที่ไหนดี?” ในยุคนี้ เพราะความที่ตั้งอยู่ ใจกลางสยาม (ติด BTS สยาม) ทำให้เป็น Live House ที่เข้าถึงง่ายที่สุดในสามโลก และเป็นแหล่งรวมของ Indie Pop, T-Pop และงาน Showcase ของวงดนตรีรุ่นใหม่ที่กำลังมาแรง ถ้าคุณอยากเจอศิลปินที่กำลังเป็นกระแส หรือคอนเสิร์ตที่บัตร Sold Out ไวๆ ที่นี่คือที่ที่พลาดไม่ได้เลย โดย Lido จะแบ่งเป็น Hall 2 และ Hall 3 ซึ่งมีความจุและอารมณ์ในการดูโชว์ที่ต่างกันเล็กน้อย ดังนั้น เช็กผังที่ยืน/ที่นั่ง ให้ดีก่อนซื้อบัตรนะ!
2. Volume Live House: เน้นงานใหญ่ Production ต้องแน่น!
ถ้าต้องการคอนเสิร์ตที่ระบบเสียงและไฟต้องไม่มีที่ติ Volume Live House ที่ The Street รัชดา (MRT ศูนย์วัฒนธรรม) คือคำตอบที่มืออาชีพเลือกใช้! ที่นี่เป็นฮอลล์ขนาดใหญ่ที่เน้นความจุและ Production คุณภาพสูง เหมาะสำหรับคอนเสิร์ตที่ต้องการความอลังการของแสง สี เสียง หรืองาน Fan Meet ของไอดอลที่มีคนเยอะๆ ซึ่งเป็น Live House ที่มีความ ยืดหยุ่น สูง และมีอีเวนต์หมุนเวียนเข้ามาจัดตลอดเวลา ดังนั้นก่อนไป ห้ามลืมเช็กตารางอีเวนต์ เป็นหลัก เพราะเขามักไม่เปิดให้เข้าแบบปกติถ้าไม่มีงานใหญ่!
3. Melt Live House: ที่รวมตัวของชาว Indie Mood ดี (มาแรงแซงโค้ง!)
Melt Live House ที่มาแรงที่สุดในช่วงนี้ ตั้งอยู่แถวพระราม 4 (ใกล้ตึกมาลีนนท์) และได้กลายเป็น Home Base ของวงอินดี้สายละมุน! ที่นี่จะเน้นแนว Indie Pop, Folk, Acoustic ที่มี Mood ดีๆ มีงานของวงอินดี้แถวหน้าที่กำลังเป็นกระแสต่อเนื่อง ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ใน ‘Community’ ของคนฟังเพลงแนวเดียวกันจริงๆ สำหรับใครที่อยากได้ประสบการณ์พิเศษ ที่นี่ก็มีบัตรประเภท Melt Deluxe / VVIP ที่มอบมุมมองที่ดีที่สุด และสิทธิพิเศษอื่นๆ ที่คุ้มค่าแน่นอน!
4. Marshall Live House: พลังร็อกต้องมา! (พิกัดใหม่โคตรเท่!)
ชื่อนี้การันตีความเดือด! Marshall Live House คือที่ที่คุณจะได้สัมผัสพลังเสียงแบบถึงเครื่องถึงใจ ย้ำว่าตอนนี้เขาปักหลักอยู่ที่ซอยเจริญกรุง 36! ซึ่งที่นี่คือ Marshall Live House แห่งแรกของโลก ที่เน้น พลังเสียงคือที่สุด! และเป็น Community ที่แข็งแรงของชาวร็อกและดนตรีทางเลือก นอกจาก Live Stage แล้ว ยังมี Vinyl Listening Bar และ ห้องซ้อมดนตรี ที่เปิดให้ศิลปินมาปล่อยของอีกด้วย เป็นทั้งที่ดูคอนเสิร์ตและที่แฮงค์เอาท์สุดฮิปในย่านสร้างสรรค์!
5. Speakerbox: ตำนานแห่งชาวอินดี้ใต้ดิน
Speakerbox ที่เอกมัย/ทองหล่อ (ใกล้ BTS เอกมัย) อาจจะไม่ได้เน้นความใหญ่ แต่เน้น ความเก๋า และ ความ Authentic ที่สุด! ที่นี่คือ บ้านของวงดนตรีอินดี้ใต้ดิน ตัวจริง ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญที่คุณจะได้ค้นพบวงใหม่ๆ ที่ยังไม่แมส หรือได้ดูวงโปรดแบบ Close-up ที่สุด บรรยากาศเป็นกันเองและอบอุ่นมาก และบ่อยครั้งก็มีอีเวนต์ Jam Session / Open Mic ที่ทำให้นักดนตรีมาปล่อยของแบบสดๆ ให้คุณได้เซอร์ไพรส์อยู่เสมอ