ภาษีสังคมที่ทำให้เจน Y และ Z​ ไม่รวยสักที!

เคยรู้สึกไหมว่าเงินเดือนที่ได้มาแต่ละเดือน มันหายไปไหนกันหมดทุกที กดบัญชีดูตัวเลขก็ไม่ค่อยขยับ แต่ของในบ้านกลับมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ชุดใหม่ กระเป๋าใหม่ ของแบรนด์เนมที่ซื้อเพราะ "เพื่อนใช้กัน" หรือ "คนในออฟฟิศมีแต่เรายังไม่มี !"

นี่คือสิ่งที่หลายคนเรียกว่า "ภาษีสังคม" ค่าใช้จ่ายที่เราจ่ายไป ไม่ใช่เพราะเราต้องการจริง ๆ แต่เพราะเรารู้สึกว่า "ต้องมี" เพื่อให้ดูดี เพื่อให้เข้ากับสังคม เพื่อให้คนอื่นเห็นว่าเราก็ "มี" เหมือนกัน

เมื่อ Lifestyle กลายเป็นเกมแสดงสถานะ ในยุคโซเชียลมีเดีย ทุกอย่างที่เราทำดูเหมือนจะต้อง "โชว์" ได้ คาเฟ่ร้านดัง อาหารหรู ทริปท่องเที่ยว ไอเทมแบรนด์เนม ไม่ใช่แค่ของที่เราชอบหรือต้องการ แต่มันกลายเป็น "สัญลักษณ์" ที่บอกคนอื่นว่าเราเป็นใคร เราอยู่ในระดับไหนของสังคม

เราซื้อกระเป๋าแบรนด์ราคาหลักหลายหมื่น เป็นหนี้ผ่อนเป็น 10 เดือน เพราะไม่อยากให้คนในออฟฟิศคิดว่าเราไม่มีรสนิยม แม้ว่าเงินก้อนนั้นมันจะเป็นเงินเดือนเกือบทั้งเดือนของเราก็ตาม
ดักจับของ "ภาษีสังคม" ที่แทบมองไม่เห็น

“สิ่งที่น่ากลัว


ของภาษีสังคม”

คือมันแอบแฝงมาในรูปแบบต่าง ๆ จนเราแทบไม่รู้ตัวว่ากำลังจ่ายมันอยู่

 • งานเลี้ยงออฟฟิศ ทุกครั้งที่มีคนชวนไปกินข้าว ดื่มหลังเลิกงาน แม้ไม่อยากไป แต่ก็ต้องไป เพราะกลัวโดนมองว่า "ไม่เข้าสังคม"
 • ของขวัญในงานต่าง ๆ งานแต่งเพื่อน งานเกิดเพื่อนร่วมงาน ของฝากจากทริป เงินที่ซอยออกไปทีละน้อยแต่สุดท้ายรวมเป็นหลักหมื่นต่อปี
 • การแต่งตัวตาม Dress Code สังคม ต้องมีชุดทำงานหลายชุด ต้องดูดี ต้องตามเทรนด์ เพราะไม่อยากให้คนคิดว่าเราจน
 • กิจกรรมสังคม "บังคับ" ต่าง ๆ ต้องไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน ต้องไปงานปาร์ตี้ แม้งบไม่พอแต่ก็ต้องพยายามไป

จนกว่าจะไม่จำเป็นต้องแคร์
ความจริงที่เจ็บปวดคือ ภาษีสังคมเหล่านี้ เราจะจ่ายไปเรื่อย ๆ จนกว่าเราจะรวยพอที่จะไม่ต้องสนใจมัน หรือ ฉลาดพอที่จะหยุดสนใจมัน
คนที่รวยจริง ๆ ไม่ต้องพยายามแสดงให้ใครเห็น เพราะพวกเขามีความมั่นคงทางการเงินที่แท้จริง ไม่ต้องง้อความคิดเห็นของใคร ไม่ต้องการการยอมรับจากสังคมผ่านสิ่งของ
แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ยังไม่ถึงจุดนั้น ทางออกที่ดีที่สุดคือ เลิกเล่นเกมที่เราไม่สามารถชนะได้
เพราะความจริงแล้ว ไม่มีใครสนใจชีวิตเราขนาดนั้นหรอก คนอื่น ๆ ก็กำลังยุ่งอยู่กับการพยายามแสดงสถานะของตัวเองเหมือนกัน ทุกคนกำลังเล่นเกมเดียวกัน เหนื่อยกันคนละไม้คนละมือ

ถอดรหัส "ความจำเป็น" กับ "ความอยาก"

คำถามที่เราควรถามตัวเองก่อนจ่ายเงินทุกครั้งคือ
 • ถ้าไม่มีใครรู้ เราจะยังซื้อมันอยู่ไหม?
 • เราซื้อเพราะมันทำให้เรามีความสุขจริง ๆ หรือเพราะอยากให้คนอื่นเห็น?
 • ถ้าเงินก้อนนี้ไปอยู่ในบัญชีออมทรัพย์ มันจะทำให้เรารู้สึกดีกว่าไหม?
เมื่อเราเริ่มถามคำถามเหล่านี้ เราจะพบว่า หลายอย่างที่เราคิดว่า "จำเป็น" จริง ๆ แล้วมันคือ "ความอยาก" ที่ปลูกฝังมาจากสังคม
อิสรภาพที่แท้จริง คือเมื่อเรา ไม่ต้องพิสูจน์อะไรกับใคร
ชีวิตที่เป็นอิสระจริง ๆ ไม่ใช่ชีวิตที่มีของแพง ๆ เยอะ แต่คือชีวิตที่เราไม่ต้อง "พยายาม" แสดงอะไรให้ใครเห็น
เมื่อเราหยุดจ่ายภาษีสังคม เราจะค้นพบว่า:
 • เงินเดือนพอใช้มากกว่าที่คิด
 • เรามีเวลาให้กับสิ่งที่เรารักจริง ๆ มากขึ้น
 • ความเครียดเรื่องเงินลดลง
 • เราเริ่มมีเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน เช่น เก็บเงินซื้อบ้าน หรือสร้างกองทุนฉุกเฉิน

บทสรุป: เลือกเกมที่จะเล่นด้วยตัวเราเอง
ภาษีสังคมไม่ได้หมายความว่าเราต้องใช้ชีวิตอย่างคนขี้เหนียว แต่มันคือการเลือกอย่างมีสติว่า เราจะใช้เงินของเราไปกับอะไร
ในวัยทำงาน เวลาและเงินเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุด แต่เราไม่ควรเอาไปเสียเปล่ากับการพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่าเรา "มี"
จงเก็บออมไว้ จนกระทั่งวันหนึ่งเราจะไม่ต้องแคร์ได้จริง ๆ ไม่ใช่เพราะเราทำเป็นไม่แคร์ แต่เพราะเรามีความมั่นคงทางการเงินที่ทำให้เราไม่ต้องแสดงอะไรให้ใครเห็น
เพราะคนที่เป็นอิสระทางการเงินจริง ๆ ไม่ต้องการความเห็นใจจากใคร และไม่ต้องการการยอมรับจากใครอีกต่อไป

ชีวิตของเราสั้นเกินกว่าจะเสียเวลาแสดงให้คนอื่นเห็น ใช้มันเพื่อสร้างสิ่งที่มีค่าจริง ๆ สำหรับตัวเราเองดีกว่าครับ

Next
Next

'FF' ไม่ใช่ 'เส้นชัย'. มันคือ 'Vibe' ของการ 'ใช้ชีวิต'