วัดสุทัศนเทพวราราม


สถาปัตยกรรมแห่งสวรรค์

หากพูดถึงสัญลักษณ์คู่บ้านคู่เมืองของกรุงเทพมหานคร นอกเหนือจากวัดพระแก้วแล้ว ภาพของเสาสีแดงสูงตระหง่านเสียดฟ้าอย่าง "เสาชิงช้า" คงเป็นภาพแรกๆ ที่หลายคนนึกถึง และเบื้องหลังเสาชิงช้านั้น คือที่ตั้งของ วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า "วัดสุทัศน์" พระอารามหลวงชั้นเอกที่เปี่ยมไปด้วยมนต์ขลัง ความงดงามทางศิลปกรรม และเรื่องเล่าขานที่ส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่น

วัดสุทัศน์ไม่ได้เป็นเพียงวัดทั่วไป แต่ถูกสร้างขึ้นด้วยความตั้งใจอันยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ที่ทรงมีพระราชประสงค์จะให้เป็นวัดที่ตั้งอยู่กึ่งกลางของพระนคร ตามคติจักรวาลวิทยา โดยชื่อ "สุทัศนเทพวราราม" นั้นมีความหมายถึง "นครแห่งพระอินทร์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์" การก้าวเท้าเข้ามาในเขตวัดจึงเปรียบเสมือนการก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งทวยเทพที่ถูกจำลองลงมาบนโลกมนุษย์ ความน่าเชื่อถือและความสำคัญของวัดแห่งนี้ ยืนยันได้จากประวัติการก่อสร้างที่ยาวนานถึง 3 รัชกาล เริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 1 ทรงแกะสลักบานประตูด้วยพระองค์เองในสมัยรัชกาลที่ 2 และเสร็จสมบูรณ์งดงามในสมัยรัชกาลที่ 3 นี่คือมรดกทางศิลปะที่กษัตริย์ไทยทรงทุ่มเททั้งพระราชหฤทัยและพระราชทรัพย์เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา

The Grand Architecture: จักรวาลจำลองใจกลางกรุง

พระศรีศากยมุนี: หัวใจแห่งศรัทธา

เมื่อเดินเข้ามาภายในพระวิหารหลวง สิ่งแรกที่จะสะกดสายตาคือ พระศรีศากยมุนี พระพุทธรูปหล่อสำริดขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งอัญเชิญมาจากวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย เรื่องราวการอัญเชิญพระพุทธรูปองค์นี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง ถึงขนาดมีการบันทึกไว้ว่า เมื่อขบวนแพอัญเชิญพระพุทธรูปมาถึงท่าช้าง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทเปล่าเพื่อต้อนรับพระพุทธรูปองค์นี้ด้วยพระองค์เอง แสดงให้เห็นถึงความศรัทธาอันเปี่ยมล้นที่กษัตริย์มีต่อพระพุทธศาสนา

สถาปัตยกรรมที่เล่าเรื่องจักรวาล

ความน่าสนใจของวัดสุทัศน์ไม่ได้หยุดอยู่แค่พระพุทธรูป แต่ยังรวมถึงสถาปัตยกรรมที่แฝงปรัชญาอันลึกซึ้ง แผนผังของวัดถูกจัดวางตามคติไตรภูมิ โดยมีพระวิหารหลวงเปรียบเสมือนเขาพระสุเมรุ ศูนย์กลางของจักรวาล และระเบียงคดเปรียบเสมือนกำแพงจักรวาล ภายในพระอุโบสถที่ได้รับการกล่าวขานว่ายาวที่สุดในประเทศไทย ยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วิจิตรบรรจง ไม่ว่าจะเป็นภาพทศชาติชาดก หรือภาพวิถีชีวิตชาวสยามในอดีต

มีคำกล่าวหนึ่งที่นักประวัติศาสตร์ศิลป์มักหยิบยกมาพูดถึงเสมอว่า "สถาปัตยกรรมคือกระจกเงาที่สะท้อนจิตวิญญาณของยุคสมัย" วัดสุทัศน์คือกระจกบานใหญ่ที่สะท้อนความรุ่งเรือง ความสงบ และภูมิปัญญาของช่างศิลป์ไทยในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ตำนานเปรตวัดสุทัศน์

แน่นอนว่าชื่อของวัดสุทัศน์มักมาคู่กับตำนาน "เปรตวัดสุทัศน์" เรื่องเล่าสุดคลาสสิกที่ทำให้เด็กๆ หลายคนกลัวจนไม่กล้าทำบาป ในมุมมองสมัยใหม่ เรื่องนี้อาจเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่คนโบราณใช้สอนใจ หรืออาจเกิดจากภาพวาดเปรตที่ซ่อนอยู่ตามมุมเสาในวัด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าวัดไม่ได้ทำหน้าที่แค่ประกอบพิธีกรรม แต่ยังทำหน้าที่ขัดเกลาสังคมผ่านเรื่องเล่าและงานศิลปะ

มีคำกล่าวหนึ่งของ Marcus Garvey นักปรัชญาชาวจาเมกาที่น่าสนใจครับ เขาบอกว่า "A people without the knowledge of their past history, origin and culture is like a tree without roots." หรือ "ผู้คนที่ปราศจากความรู้เรื่องอดีต รากเหง้า และวัฒนธรรม ก็เปรียบเสมือนต้นไม้ที่ไร้ราก"

วัดสุทัศน์ในวันนี้จึงเป็นเหมือนรากแก้วที่แข็งแรงของกรุงเทพฯ ที่รอให้คนรุ่นใหม่แบบพวกเราเข้าไปเรียนรู้และทำความเข้าใจ การมาวัดอาจไม่ใช่เรื่องเชยๆ อีกต่อไป แต่มันคือการกลับมาสำรวจรากเหง้าของตัวเองในรูปแบบที่ทันสมัยและลึกซึ้งกว่าเดิม


ถ้าวันหนึ่งวัดวาอารามเหล่านี้ถูกแทนที่ด้วยตึกระฟ้า คุณคิดว่าเสน่ห์ของกรุงเทพฯ ที่เราภูมิใจจะยังคงอยู่ หรือจะเลือนหายไปพร้อมกับประวัติศาสตร์เหล่านั้น?

Next
Next

วัดจิ้งอัน (Jing’an Temple) โอเอซิสสีทองกลางมหานครเซี่ยงไฮ้